
Surgery
ศัพท์ “ศัลยกรรม” ในภาษาอังกฤษมีรากมาจากภาษากรีก kheirourgia คือ kheir หมายถึง มือ
และ erg คือ งาน ปรากฏในภาษาอังกฤษเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 14 แต่การรักษาด้วยศัลยกรรมที่จริงมีประวัติ
มาแต่ดึกดำบรรพ์จากหลักฐานการเจาะรูที่กะโหลกศีรษะ (trepanation) ถึงแม้ว่าจริง ๆ แล้วเป็นที่
ยอมรับกันทั่วไปว่าศัลยศาสตร์แบบปัจจุบันเริ่มต้นที่ยุโรปโดยเฉพาะในศตวรรษที่ 18 เมื่อเซอร์ จอห์น ฮันเตอร์
ศัลยแพทย์ชาวอังกฤษวางรากฐานด้วยงานทดลองบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และงานเขียนจนเป็นที่ยอมรับ
ว่าเป็นบิดาแห่งศัลยศาสตร์ทันยุค (Modern surgery)
ปัจจุบันโรคที่ต้องรักษาทางศัลยกรรมมีเป็นจำนวนมาก ปี ๆ หนึ่งมีคนตายจากบาดเจ็บและบาดแผล
ประมาณ 5 ล้านคน ประมาณ 2 แสน 7 หมื่นคนตายด้วยภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ ผู้ป่วยเหล่านี้จะ
รอดชีวิตถ้าเข้าถึงมือศัลยแพทย์และสูติแพทย์ ศัลยศาสตร์จึงเป็นวิชาที่มีความสำคัญมากถึงขนาดธนาคารโลก
ที่ตั้งใจจะพิมพ์ตำราการควบคุมโรคเป็นครั้งที่ 3 ในปี ค.ศ. 2015-16 รวม 9 เล่มโดยให้ลำดับความสำคัญ
แก่ศัลยศาสตร์เป็นอันดับแรก และพบว่าศัลยกรรมทั้งหมด 44 วิธีเป็นความจำเป็นยิ่ง คุ้มค่าและดำเนินการได้
จะป้องกันคนตายหนึ่งล้านห้าแสนคนต่อปีหรือร้อยละ 6 ถึง 7 ของการตายในประเทศที่เศรษฐฐานะต่ำหรือ
ปานกลาง 28 จาก 44 วิธีทางศัลยกรรมสามารถทำได้ในโรงพยาบาลระดับปฐมภูมิ ซึ่งคุ้มค่ามาก
นอกจากนี้การปรับปรุงวิธีการและการลงทุนเพื่อศัลยกรรมที่จำเป็นให้ครอบคลุมทั่วโลกซึ่งจะใช้เงินประมาณ
สามพันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี แต่ให้ผลประโยชน์คุ้มค่ากว่า 10 เท่า
ศัลยแพทย์ทั่วไปและผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ ของศัลยศาสตร์ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
จึงมีไม่เพียงพอ ในประเทศไทยการให้การสอนและฝึกอบรมบัณฑิตแพทย์จึงควรให้เวลาและความสำคัญ
ในศัลยศาสตร์และอายุรศาสตร์ เป็นสองเสาหลักทางเวชปฏิบัติ ความต้องการผู้เชี่ยวชาญทางสาขาย่อยเฉพาะทาง
ของสาขาหลักโดยทั่วไปทั่วโลกโดยเฉพาะในประเทศที่ประชากรมีรายได้ปานกลางหรือสูงก็ต่างจากสาขาย่อย
ที่จำเป็น (essential) ที่กล่าวถึงแล้ว เช่น ศัลยกรรมตกแต่งซึ่งประเทศที่กล่าวต้องให้ความสำคัญและตอบสนอง
การผลิตด้วยการฝึกอบรมทักษะศัลยแพทย์รุ่นใหม่มิเช่นนั้นประเทศก็จะมีแพทย์ปริญญาแต่ขาดทักษะและ
เป็นการลด “หมอเถื่อน” ผู้บริหารที่รับผิดชอบการฝึกอบรมต้องรับสภาพความเป็นจริง (realistic) มากกว่า
ที่จะยึดถืออุดมการณ์ (idealistic) เพียงอย่างเดียว แนวทางวิธีรักษาปัญหาทางศัลยกรรมพื้น ๆ ก็จะเปลี่ยนไป
เช่น การรักษาด้วยการผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบหรือสงสัยว่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ ในปัจจุบันในมหานครประชากร
วัยกลางคนถึงวัยชราจะมีคนที่เคยผ่าตัดเอาไส้ติ่งออกประมาณ 1 ใน 6 เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็มีรายงานวิจัยเปรียบเทียบ
การใช้ยาต้านจุลชีพกับการรักษาไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลันที่ไม่มีปัญหาแทรกซ้อน (acute uncomplicated
appendicitis) ว่าให้ผลไม่แพ้การรักษาด้วยการผ่าตัด !
ในฐานะที่เป็นอายุรแพทย์และประสาทแพทย์ที่ได้รับการศึกษาและอบรมเป็นแพทย์เฉพาะทาง
จากต่างประเทศมาตลอด ได้มีโอกาสเห็นการทำงานกับอาจารย์แพทย์ เพื่อนแพทย์และช่วยสอนนักศึกษาแพทย์
ที่อังกฤษ ผมกล้ายืนยันได้ว่าอาจารย์ศัลยแพทย์ไทยที่ผมได้ร่วมงานด้วย ฝีไม้ลายมือทางผ่าตัดไม่เป็นรองใคร
บางรายอาจจะมีทักษะเก่งกว่าเสียอีก ปัจจุบันอาจารย์เหล่านั้นหลายคนวางมือแล้วแต่ยังใช้ชีวิตทำงานอย่างอื่น
ผู้เขียนจะกล่าวถึงอาจารย์ที่เป็นศัลยแพทย์อาวุโสที่ถึงแก่อสัญกรรมแล้วเพียงสั้น ๆ 2 ท่านคือ ศาสตราจารย์
เกียรติคุณนายแพทย์อุดม โปษะกฤษณะ (พ.ศ. 2453-2540) และศาสตราจารย์กิตติคุณนายแพทย์สมาน
มันตาภรณ์ (พ.ศ. 2457-2544) ท่านแรกในฐานะประสาทศัลยแพทย์ ผมโชคดีได้พบอาจารย์เป็นครั้งแรก
ขณะทำงานอยู่ที่สถาบันประสาทวิทยา (Queen Square) ที่ลอนดอน ท่านไปนั่งฟังการบรรยายที่ผมบังเอิญ
ฟังอยู่ด้วยจึงไปแนะนำตัวเองและอาสาพาอาจารย์ไปส่งสนามบิน เมื่อกลับมาทำงานที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ
ได้เข้าประชุมวิชาการประจำเดือนของสมาคมประสาทวิทยาฯ และเป็นกรรมการจัดการประชุมสหพันธ์
ประสาทวิทยาแห่งเอเซียครั้งที่ 4 เมื่อ 40 ปีมาแล้ว (พ.ศ. 2518) เห็นได้ชัดว่าอาจารย์อุดมเป็นนักวิชาการ
โดยแท้แม้ท่านจะเป็นคณบดี (ศิริราช) เป็นรัฐมนตรี (ว่าการกระทรวงสาธารณสุข) อาจารย์ก็ยังสนใจซักถาม
และพูดคุยกับผมเรื่องประสาทวิทยาอยู่เสมอ ๆ ส่วนศาสตราจารย์กิตติคุณนายแพทย์สมาน มันตาภรณ์
เป็นอาจารย์ศัลยแพทย์ที่ผมรู้จักดีมากเพราะเป็นคนไข้ของอาจารย์ตั้งแต่ผมเพิ่งเริ่มรับราชการ โชคดีได้มีโอกาส
บันทึกข้อความเกี่ยวกับท่านเมื่อวาระครบ 100 ปีท่าน ! สำหรับแพทย์ท่านใดที่ชอบอ่านหนังสืออ่านเล่น
เป็นภาษาอังกฤษ ผมขอแนะนำเรื่องอาจารย์หมอสมาน ในบทหนึ่งของหนังสือเขียนโดยคุณสภา ปาลเสถียร
ชื่อ The Last Siamese. Journeys in war and peace
ก่อนจบผมขอแนะนำหนังสืออ่านเล่นอีกเล่มเขียนโดยศัลยแพทย์หนุ่มชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา
Atul Gawande ชื่อ Being Mortal. Illness, Medicine and What matters in the end อ่านแล้วจะวางไม่ลง !
แนะนำเอกสาร
1) Lawrence C. (2008). Historical Keyword: Surgery. Lancet. 371 : 467.
2) Mock CN, Donkor P, Gawande A, et al. (2015). Essential surgery: key messages from Disease
Control Priorities, 3rd edition. Lancet. 385 : 2209-2219.
3) Mason RJ. (2011). Appendicitis: is surgery the best option? Comment. Lancet.
377 : 1545-1546.
4) Vons C, Barry C, Maitre S, et al. (2011). Amoxicillin plus clavulanic acid versus
appendicectomy for treatment of acute uncomplicated appendicitis: an open-label,
non-inferiority, randomised controlled trial. Lancet. 377 : 1573-1579.
5) อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์นายแพทย์อุดม โปษะกฤษณะ วันเสาร์ที่ 28
มิถุนายน พุทธศักราช 2540 บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับบลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) กรุงเทพฯ
6) อนุสรณ์ 100 ปี สมาน มันตาภรณ์ พ.ศ. 2457-2557 106 หน้า
7) Palasthira TS. (2013). Dr. Smarn Muntabhorn. Anatomy of a fighting surgeon.
In: The Last Siamese. Journeys in war and peace. Bangkok. The Post Publishing Company Limited.
pp. 149-170.
8) Gawande A. (2014). Being Mortal. Profile Books Ltd. London. 282 pages.
