Q fever
Sir Macfarlane Burnet (1899-1985)
เมื่อถามถึงโรคไข้คิว แพทย์และนักศึกษาแพทย์ส่วนใหญ่จะพอบอกได้ว่าเป็นโรคติดเชื้อ แต่มักจะ
เข้าใจผิดว่าคิว (Q) หมายถึง รัฐควีนส์แลนด์ (Queensland) ประเทศออสเตรเลีย เพราะโรคนี้เอ็ดเวิร์ด ฮอลบรูค
เดอร์ริค (Edward Holbrook Derrick) เป็นคนแรกที่รายงานในพนักงานโรงฆ่าสัตว์ที่นครบริสเบน (Brisbane)
รัฐควีนส์แลนด์ แต่อักษร Q ในโรคนี้มาจากคำ query (เควีย' ริ) หมายถึง เครื่องหมายคำถาม เพราะขณะนั้น
ยังไม่ทราบเชื้อที่ทำให้เกิดโรคจนกระทั่งปี ค.ศ. 1937 เมื่อนายแพทย์แฟรงค์ แมคฟาร์เลน เบอร์เน็ต
(Frank Macfarlane Burnet) และมาวิส ฟรีแมน (Mavis Freeman) สามารถแยกเชื้อจากผู้ป่วยคนหนึ่งของ
เดอร์ริคได้สำเร็จ ปัจจุบันเชื้อมีชื่อว่า Coxiella burnetii ซึ่งเป็นแบคทีเรียแกรมลบชนิดหนึ่งคล้าย Legionella
โรคไข้คิวเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน เนื่องจากปัจจุบันการท่องเที่ยวเดินทางติดต่อกันทั่วโลกอย่างกว้างขวาง
จึงมีรายงานผู้ป่วยเป็นประจำเสมอแพทย์จึงควรรู้จักลักษณะอาการของโรคนี้ไว้ อาการที่พบบ่อย ได้แก่
อาการคล้ายเป็นไข้หวัด ปวดหัวตัวร้อน เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ไอ บางครั้งมีปอดอักเสบ
และบางรายมีตับอักเสบโตและมีตาเหลือง บางรายมาหาแพทย์ด้วยไข้ไม่ทราบสาเหตุ การรักษาด้วยยาต้านจุลชีพ
doxycycline ได้ผลดีมาก ในหญิงตั้งครรภ์มีรายงานแนะนำใช้ cotrimoxazole เป็นระยะเวลานาน 5 สัปดาห์แทน
ในรายที่มีตับอักเสบมากก็มีคำแนะนำให้ใช้สตีรอยด์ (steroids) ร่วมด้วย
แมคฟาร์เลน เบอร์เน็ต เป็นชาวออสเตรเลียนแต่กำเนิด ศึกษาแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเมลเบอร์น
หลังจากนั้นไปศึกษาต่อที่ลอนดอนจนได้ปรัชญาดุษฎีบัณฑิตเมื่อปี ค.ศ. 1927 แล้วกลับไปออสเตรเลียอยู่พักหนึ่ง
ก่อนกลับไปฝึกอบรมทางไวรัสวิทยาที่ลอนดอนเมื่อปี ค.ศ. 1932 เบอร์เน็ตเป็นผู้พัฒนาเทคนิคเพาะเชื้อไวรัส
โดยเฉพาะไวรัสไข้หวัดใหญ่ซึ่งยังคงใช้กันจนปัจจุบัน เบอร์เน็ตเป็นผู้เสนอทฤษฎีการเลือกโคลน
(clonal selection theory) โดยศึกษาและเสนอแนวคิดในเรื่องนี้ หลังจากที่ เรย์ เดวิด โอเวนส์ พบว่าลูกวัวแฝด
สามารถรักษาเม็ดเลือดแดงของตัวเองและของคู่แฝดได้ตลอดชีวิตซึ่งเชื่อว่าเป็นจากการผ่านต่อเซลล์ต้นกำเนิด
ของเม็ดเลือดแดงตั้งแต่อยู่ในครรภ์แม่ การรู้ว่าเซลล์เนื้อเยื่อว่าเป็นของตนหรือไม่ใช่ตนจะเกิดหลังจาก
ช่วงระยะเวลานั้นไปแล้ว
เซอร์ ปีเตอร์ เมดาวอร์ (Sir Peter Medawar, 1915-1987) จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
เป็นผู้พิสูจน์สมมติฐานที่เบอร์เน็ตเสนอได้สำเร็จ โดยการฉีดเซลล์จากม้ามของหนูพันธุ์หนึ่งเข้าตัวหนูอีกพันธุ์หนึ่ง
ในระยะเอ็มบริโอ (embryo) และต่อมาเมื่อโตแล้วหนูรับผิวหนังปลูกถ่าย (skin graft) จากตัวที่ให้ได้
เมดาวอร์พิสูจน์ให้เห็นว่าการไม่รับสิ่งปลูกถ่ายคล้ายกับความไวเกินของเซลล์ (cellular hypersensitivity)
นำไปสู่ความรู้ทางวิทยาภูมิคุ้มกันสองระบบคือ cell-mediated และ antibody-mediated นับได้ว่าทั้งเบอร์เน็ต
และเมดาวอร์ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือแพทยศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1960 ร่วมกัน เป็นผู้ร่วมบุกเบิก
วิทยาภูมิคุ้มกันอย่างมาก เป็นที่ยอมรับว่าทั้งสองคนเป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลม มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
เมดาวอร์ได้เขียนหนังสือที่เป็นอมตะไว้หลายเล่มซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีจนปัจจุบัน อาทิ Pluto’s Republic (1982)
และอัตตชีวประวัติ Memoir of a Thinking Radish (1986)
แนะนำเอกสาร
1) Wikipedia - the free encyclopedia. (2013). Q fever.
2) วิกิพีเดีย. (2013). โรคไข้คิว (Q Fever, Query fever).
3) Somasundaram R, Loddenkemper C, Zietz M, et al. (2006). A souvenir from the Canary Islands.
Lancet. 367 : 1116.
4) Petersdorf RB, Beeson PB. (1961). Fever of unexplained origin: report on 100 cases.
Medicine (Baltimore). 40 : 1-30.
5) Sir Macfarlane Burnet. The Nobel Chronicles. A handbook of Nobel Prizes in Physiology or
Medicine 1901-2000. Ed. TNK Raju. The Nobel Foundation 2002. pp. 241-243.